หุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่วงก่อนประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาการไม่สู้ดีนัก แค่วันแรกของสัปดาห์ (24 ม.ค.) ปิดตลาดร่วงไป -12.19 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,641 จุด ต่อมาวันที่ 25 ม.ค. ปิดลบไปอีก -1.45 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,639 จุด จากนั้นกลางสัปดาห์ (26 ม.ค.) ปิดบวกขึ้นมา 4.35 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,643 จุด แล้วพอรู้ผลประชุมเฟด (27 ม.ค.) ดัชนี SET Index ก็ปิดตัวร่วงลงไปอีก -9.27 จุด ดัชนีลงไปอยู่ที่ระดับ 1,634 จุด ก่อนจะรีบาวนด์ในวันสุดท้ายของสัปดาห์
มองไปข้างหน้า (31 ม.ค.-4 ก.พ.) “ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทย น่าจะแกว่งตัว sideway up โดยให้กรอบดัชนีไว้ที่ 1,635-1,670 จุด และคาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขายที่ลดลงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ทำให้ตลาดหุ้นใหญ่ ๆ อย่างตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการ ส่งผลให้การซื้อขายจะชะลอตัวลง
ขณะที่ประเด็นเรื่องเฟดที่ประชุมแล้วเสร็จไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงมีท่าทีความไม่ชัดเจนอยู่ในประเด็นของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจากความไม่ชัดเจนของเฟดทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกิน 4 ครั้งในปีนี้
โดยในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกช่วงเดือน มี.ค.นี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 0.5% ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดความผันผวนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวลงหนักที่สุด แต่ตลาดหุ้นไทยถือว่ากระทบไม่ได้หนักมากนัก เนื่องจากประเทศไทยมีหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีไม่มากนัก และหุ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก
“ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้านี้ ตลาดน่าจะคลายความกังวลในประเด็นของเฟดลงมาได้บ้างแล้ว เพราะตลาดโดนกดดันและรับรู้มามากพอสมควร จึงมีโอกาสที่ตลาดจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามการประกาศงบฯของหุ้นกลุ่ม real sector ที่จะทยอยประกาศออกมา อาทิ ASP, DTAC, THCOM, STANLY เป็นต้น”
ทั้งนี้ หุ้นที่น่าสนใจยังคงเน้นหุ้นที่มีพื้นฐานดี ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด และหุ้นที่มีการจ่ายปันผล รวมถึงหุ้นในกลุ่มธนาคาร ที่น่าจะสามารถเป็นเกราะป้องกันเงินเฟ้อและอยู่ในภาวะที่เป็นเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้นได้ดี
อ้างอิง
https://www.prachachat.net